พุธ, 25 ธันวาคม 2024
Home ความรู้ทั่วไป


ภาพนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ Sages Academy ห้ามมิให้ผู้ใด นำไปทำซ้ำ ดัดแปลง แก้ไข หรือ เผยแพร่ โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Sages Academy ผู้ละเมิดจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย






ฤกษ์ยามมงคลไหว้เจ้าขอพรเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ไฉ่ซิ้งเอี๊ย ประจำปี พ.ศ. 2559

(เขียนโดย อ.ตั้งเต็กค้วง วันที่ 28 ธันวาคม 2558)




ในตอนนี้ปีใหม่จีนก็ใกล้เวียนมาบรรจบครบรอบแล้ว ช่วงหลังๆ จึงมีผู้ตั้งตัวเป็นหมอดูดวงจีน เป็นซินแส ออกมา Present Face ทายสถานการณ์เหตุบ้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และที่ขาดไม่ได้ก็ออกมาพูดเรื่อง “ชง” ลูกศิษย์ของข้าพเจ้ามาเล่ากันในห้องเรียนดวงจีน พากันขำ เรื่องชง ของพวกหมอดูดวงจีนและซินแสตลาด ที่ออกมาป่าวประกาศทางสื่อต่างๆ ปาวๆ ว่า คนปีนี้ชง คนปีนั้นชง เขาว่า ปีนี้ปีลิง คนเกิดปีเสือ ปีลิง ปีหมู ปีงู ชงหมด แบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ไว้เสร็จสรรพ เอ๊ะ! นี่มันวิชาโหราศาสตร์จีนหรือวิชาอะไร? ถามจริงๆ ปรมาจารย์องค์ใดท่านสอนมา? ไม่เคยมีมาเลยคำพูดแบบนี้ การออกมาพูดแบบนี้เป็นการสร้างความสับสนความเข้าใจผิดให้คนทั่วไป ถ้ารู้ไม่จริงซะแล้วก็ควรจะสงบปากสงบคำเสียบ้าง ไม่ใช่ตะบี้ตะบันโม้เพื่อหวังผลทางชื่อเสียงและธุรกิจ เพื่อหาเงินหาทองจากความไม่รู้ของคน การที่บอกว่า คนเกิดปีเสือ ปีลิง ปีหมู ปีงู ถูกปะทะถูกชงจากปีลิงที่จรมานี้ เป็นการพูดที่ผิดไปจากหลักวิชาโหราศาสตร์จีน ถึงจะอ้างว่า ตนเอาหลักการ เฮ้ง(อาญา) ผัวะ(แตก) ไห่(วุ่นวาย) มาพูดให้เข้าใจง่าย ก็หลักการของวิชาโหราศาสตร์จีนนั้นคนจะดวงตกดวงร้ายไม่จำเป็นต้อง เฮ้ง(อาญา) ชง(ปะทะ) ผัวะ(แตก) ไห่(วุ่นวาย) เสมอไป และถึงแม้ว่าจะ เฮ้ง(อาญา) ชง(ปะทะ) ผัวะ(แตก) ไห่(วุ่นวาย) อาจกลับร้ายกลายเป็นดีก็เป็นได้ มันมีหลักและวิธีการพิจารณามากมายสลับซับซ้อนลึกซึ้งยิ่งนัก ข้าพเจ้ากล้ายืนยันว่า ซินแสหรือหมอดูดวงจีนคนไหนก็ตามที่ออกมาพูดว่า คนเกิดปีเสือ ปีลิง ปีหมู ปีงู ชงหมดในปีนี้ คนพวกนี้ไม่ได้เข้าใจหลักวิชาดวงจีนโหราศาสตร์จีนเลย ถ้าให้มันทายดวง มันก็ทายแบบขี่ม้าเลียบค่าย ทายฟุ้งรอบครอบจักรวาล หาสาระหาแก่นสารไม่ได้ เพราะอะไรข้าพเจ้าจึงยืนยันเช่นนั้น ก็เพราะเห็นมามากแล้วคนจำพวกนี้ จริงๆ แล้วถ้าคิดจะตั้งตัวเป็นหมอดูดวงจีน เป็นซินแส ถ้าจะหากินกับหลักการปัญญาอ่อนอย่างนี้ไม่สมควร ก็คนพวกนี้นั้นแหละที่จะทำให้คนเสื่อมศรัทธาในวิชาโหราศาสตร์จีน จะทำให้คนเขาเลิกเชื่อถือ ให้คนเขาคิดว่าเป็นเรื่องงมงายไร้สาระ และ เขาก็จะคิดว่ามันคงไม่มีหรอกคนเป็นจริงๆ คนที่บรรลุจริงๆ มันไม่มีหรอกวิชาจริงๆ ก็เพราะความที่รู้ไม่จริง แต่ก็อยากโชว์พาวอยากโม้อยากอวดรู้เพราะต้องทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของคนที่รู้ไม่จริง สมัยนี้ใครก็ตั้งตัวเป็นหมอดู เป็นซินแสมันหาเงินง่ายมั้ง ที่พากันไปออกสื่อนั้นบอกตรงๆ ข้าพเจ้าล่ะอายแทน แต่คนพวกนี้มันไม่อายนะ มันกลัวมันอดตาย มันเลยต้องหน้าด้าน คนพวกนี้มันไม่ได้รู้อะไรมาก แต่อาศัยลีลาท่าทางการแสดงการพูดการจาเท่านั้น เพราะคนประเภทนี้ก็เที่ยวไปตระเวนเรียน ไปอบรม 3 ครั้ง 6 ครั้งนั้น แล้วที่คิดว่าตัวเองรู้นั่นมันเป็นผู้รู้จริงๆ หรือ มันเป็นควาย? คนที่เปิดสอนมันยังไม่เป็นเลย แล้วไอ้คนไปนั่งเรียนมันจะเป็นได้ยังไง เพราะอะไร? ก็ไอ้คนที่สอนมันก็ลอกเขามาอีกทีแล้วมาใส่ความเห็นคำพูดตัวเองเข้าไปให้ดูแตกต่างแล้วอ้างเป็นเจ้าของ ลอกกันไปลอกกันมา เรียนมาเรียนไปก็ได้แค่วิชาพื้นๆ เดินดาว 9 ช่องหาดาว 8 ตั้งน้ำพุตู้ปลา ทาสีตั้งของมีสี ตั้งโคมไฟ แขวนกระดิ่ง แขวนลูกแก้ว บิดประตูเอียงประตู บิดเอียงตี่จู้ (เจ้าที่จีน) คนบางพวกก็ฟังมา จำมา ลอกเขามา จับแพะจับแกะชนกัน คิดค้นผสมขึ้นมาแล้วจึงตั้งตัวเป็นผู้รู้ (อวดรู้) โม้เป็นควุ้งเป็นแคว ขนาดพบเจอซินแสที่แท้จริงที่มีความรู้มากกว่ายังกล้าอวดรู้ใส่ พูดน้ำไหลไฟดับ ทั้งๆ ที่มันรู้ไม่จริง แต่ก็กล้าตั้งตัวเป็นหมอดูดวงจีน เป็นซินแส รับให้คำปรึกษากับชาวบ้านชาวเมืองตาดำๆ ที่เขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร นี่เป็นเรื่องน่าสมเพชเวทนาอย่างมาก ถามจริงๆ เถอะนะ เรียนยังไงอบรมยังไง 3 ครั้ง 6 ครั้ง ถึงกล้าไปอ้างว่า ตนเป็นผู้รู้นี่ ต่อให้เรียนเป็น 100 ครั้งนี้ยังรู้น้อยเข้าใจน้อยเลย ถ้าความรู้อันสูงส่งของวิชาโหราศาสตร์จีนที่เหล่าปรมาจารย์ท่านถ่ายทอดกันลงมาหลายๆ พันปี เป็นเรื่องเรียนรู้กันง่ายดายเช่นนั้น คนที่ไปเรียนมาแบบแป๊ปๆ ก็คงเป็นเทวดาเดินดินกันหมด เพราะความรู้อันนี้มันวิเศษวิโสอัศจรรย์ซะเหลือเกิน แต่ก็เพราะรู้น้อย..พูดมาก เรียนน้อย..อวดมาก ก็เลยกลายสภาพเป็นเทวดาตกสวรรค์เดินกลาดเกลื่อนเต็มบ้านเต็มเมืองเหมือนที่มีให้เห็นมากมายในปัจจุบัน เพราะอย่างนี้คนพวกนี้ถึงได้พายเรือในอ่างน้ำวน ตกอยู่ในวังวนของวิชาที่ถูกปิดบัง เป็นได้เพียงแค่ลูบแค่คลำแค่สะเก็ดแค่เปลือกของวิชาเท่านั้น เพราะเจตนาที่คิดว่า จะเอามาไว้อวด ไว้โชว์ ไว้โม้ ไว้ขาย เอามาใช้ทำมาหากิน มาตั้งตัวเป็นหมอดูดวงจีนเป็นซินแสเรียกเก็บเงินคนนั้นแหละ ดวงวิญญาณของปรมาจารย์ผู้รักษาวิชาเลยปิดเลยบังให้ไม่เข้าถึงกระพี้ ถึงแก่นของวิชา จงรู้ไว้เถิดว่า มันไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เข้าใจดอก มันอัศจรรย์ลึกซึ้ง มีขั้นมีตอนสลับซับซ้อน มีเหตุมีผล จนคนที่เข้าถึงไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างง่าย คนที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ คิดแต่จะเอาวิชามาหากินไปแอบอ้าง หรือ จะเอาไว้อวดภูมิความรู้ เอาไว้โม้นั้น ไม่มีวันเข้าถึงหลักวิชาที่แท้จริงหรอก เรียนไปเถอะ อย่าว่าแต่ 10 ปีเลย เรียนจนตายแล้วมาเกิดใหม่กลับมาเรียนอีกก็ไม่มีวันเข้าถึง ฉะนั้น ขอเตือนคนที่ไม่ค่อยประสีประสาเรื่องวิชาโหราศาสตร์จีนนะ ถ้าเจอหมอดูดวงจีน ซินแสตลาดพวกนี้ เลิกเชื่อไปเถอะ คนพวกนี้หาแก่น หาสาระ หาความจริงไม่ได้หรอก มีแต่นิทานเท่านั้นเอง หลักวิชาของปรมาจารย์นั้นมีอยู่จริงๆ แต่คนที่มันตั้งตัวเป็นหมอดูดวงจีน เป็นซินแส พวกนั้นมันรู้ไม่จริงสักอย่าง อันนี้ก็แล้วแต่บุญแต่กรรมของคนที่พบปะเกี่ยวข้องกับคนพวกนี้ เพราะไม่รู้จะเตือนยังไง ต่อไปนี้จะไม่เตือนแล้ว บุญใครกรรมมัน บอกกันแค่นี้



เรื่องของการกราบไหว้บูชา การเซ่นไหว้ บวงสรวง ไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในเทศกาลสารทต่างๆ เป็นประเพณีเป็นธรรมเนียมของชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนที่อาศัยอยู่ในเมืองไทยได้ปฏิบัติสืบทอดต่อๆ กันมาตั้งแต่อดีตหลายพันปีสืบเนื่องต่อกันจวบจนถึงปัจจุบัน โดยแบ่งเป็นการไหว้ใหญ่ๆ ทั้งสิ้น 8 สารท อันได้แก่


- การไหว้วันตรุษจีน (แต่ก่อนไหว้วันตรุษจีนจะมีการไหว้ส่งเจ้าขึ้นสวรรค์ ประมาณวันที่ 24 ของเดือน 12 ก่อนวันตรุษจีนประมาณ 7 วัน) และ ในช่วงนี้ก็จะมีการไหว้เทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี๊ย

- การไหว้เทศกาลหง่วงเซียว

- การไหว้เทศกาลเช็งเม้ง

- การไหว้เทศกาลโหง่วง้วยโจ่ย

- การไหว้เทศกาลสารทจีน

- การไหว้เทศกาลไหว้พระจันทร์

- การไหว้เทศกาลกินเจ

- การไหว้เทศกาลตังโจ่ย (กินอี้)


ซึ่งการไหว้ดังที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนมีความเชื่อว่า การกราบไหว้ฟ้าดิน เซ่นไหว้ บวงสรวงเทพเจ้า และ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะนำมาซึ่งความสุข ความเจริญในชีวิต หน้าที่การงาน ธุรกิจ การค้า มีความเจริญรุ่งเรือง มีโชค มีลาภ ร่ำรวยด้วยทรัพย์สินเงินทอง มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ แก่ตนเอง คนในครอบครัวและบริวาร เพื่อขจัดสิ่งเลวร้าย สิ่งอัปมงคล ที่ทำให้ชีวิตติดขัด มีอุปสรรค ไม่ราบรื่น ฯลฯ


ในปัจจุบัน บางตระกูลก็มีความเคร่งครัดยังยึดเอาตามระเบียบตามแบบโบราณ บางตระกูลก็ไหว้ตามประเพณี บางตระกูลก็ไหว้แบบตามมีตามเกิด บางตระกูลก็งดเว้นไหว้ อันนี้ก็แล้วแต่ความพร้อม ความสะดวก ความเชื่อซึ่งยังคงมีอยู่หรือหมดไปของแต่ละครอบครัว และแต่ละบุคคล


แต่บางคนถึงกับกล่าวปรามาสว่า การไหว้เจ้า การกราบไหว้ขอพร การบวงสรวง เป็นเรื่องงมงาย เป็นเรื่องล้าหลัง ล้าสมัย นี่มันยุควิทยาศาสตร์ ปี 2016 เขาไปเหยียบดวงจันทร์ ไปดาวอังคารกันแล้ว ยังจะมานั่งกราบนั่งไหว้สิ่งที่มองไม่เห็นทำไม จริงๆ แล้ว คนที่ไม่เชื่อ ก็ไม่ควรไปทัดทานเขา ไม่ควรไปพูดจาดูถูกเขา เขาจะกราบจะไหว้ มันก็เรื่องของเขา เมื่อเขาทำแล้วสบายใจ ทำแล้วมีกำลังใจ ก็ปล่อยเขาทำไป เขาก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้คุณ เขาไม่ได้ไปตีหัวหมา ปล้น ฆ่า ด่าแม่ใคร ในเมื่อตนเองก็ยังใช้สิทธิ์ที่จะไม่เชื่อ แต่คนอื่นเขาก็ใช้สิทธิ์ของเขาที่จะเชื่อ มันก็สิทธิ์ของใครของมัน จริงๆ ควรใช้คำว่า “ดูแต่ตา วาจาอย่าเป็นเซียน” เรื่องของความเชื่อนี่ มันเป็นเรื่องที่คุยกันไม่จบ อาจมีการตบกันเลือดกลบปากก็เป็นได้ แล้วแต่ว่าใครจะเชื่อยังไง ของแบบนี้มันเชื่อใครเชื่อมัน จะไปบังคับขู่เข็ญให้เป็นไปตามใจของตัวก็คงไม่ได้ มีคำกล่าวว่า “สิ่งที่มองไม่เห็น ไม่ได้แปลว่าไม่มี สิ่งที่ไม่เห็น พิสูจน์ยังไม่ได้ อย่าเพิ่งบอกว่าไม่มี” อันนี้ผู้เขียนปรามคนที่ไม่ได้มีความเชื่อ แต่ไปพูดทัดทานไปพูดจาดูถูกดูหมิ่นคนที่เขาเชื่อว่า อย่าไปยุ่งกับเขาเป็นอันขาด


สำหรับการไหว้เจ้า การกราบไหว้ขอพร การบวงสรวง ถ้าพิจารณาตามมุมมองแบบชาวบ้าน จัดเป็นอุบายในการสร้างกำลังใจเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวในการประกอบสัมมาอาชีพ เพื่อแสดงถึงความกตัญญู ความนอบน้อม ขอบคุณต่อบรรพบุรุษ ต่อท่านผู้มีคุณงามความดีในอดีต ต่อพลังของธรรมชาติ ต่อฟ้า-ดิน และ สิ่งที่มองไม่เห็น โดยชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีน เชื่อว่า เมื่อกระทำแล้วจะเกิดสิริมงคลต่อชีวิตตนเองและครอบครัว


ถ้าพูดเรื่องการไหว้เจ้า การกราบไหว้ขอพร ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ การบวงสรวง ในมุมมองของโหราศาสตร์จีนจริงๆ นั้นคือ การรับเอาพลังงานจากฟ้า-ดิน ซึ่งเมื่อพูดมาถึงตรงจุดนี้ ก็ย่อมต้องทำความเข้าใจ ศึกษา และ เรียนรู้ให้ครบถ้วนถูกต้องตามแบบแผน เพราะพลังงานจากฟ้า-ดิน ย่อมมีทั้งพลังงานด้านลบ(ร้าย) และ พลังงานด้านบวก(ดี) แม้เราว่าจะรู้ว่า ปี เดือน วัน เวลา และ ทิศทางใดๆ จะมีพลังงานจากฟ้าดินในด้านบวกวิ่งเข้ามา ก็ไม่ได้หมายความว่า พลังงานด้านบวกนั้นจะวิ่งเข้ามาส่งเสริมบุคคลทุกคน พลังงานมีคลื่นความถี่มีขั้วบวกขั้วลบ ย่อมเข้าหาตัวบุคคลที่มีคลื่นความถี่ขั้วบวกขั้วลบไปในแนวที่สอดคล้องกัน อันนี้เป็นการอธิบายเพื่อให้เห็นภาพ ไม่ได้อธิบายเป็นวิทยาศาสตร์อะไรทั้งสิ้น เพราะโหราศาสตร์กับวิทยาศาสตร์ มันคนละมุมไปคนละเรื่อง คนละทิศละทาง


หากจะสรุปมุมมองแบบชาวบ้านกับมุมมองของวิชาโหราศาสตร์จีนเข้ารวมกัน แล้วเอาประสบการณ์จริงๆ ที่เขาได้รับผลจากการไหว้มาพูด ก็สามารถยืนยันได้ว่า การไหว้เจ้า การกราบไหว้ขอพร ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ การบวงสรวง มีผลแน่นอน เพราะถ้าไม่มีผลเลย เขาจะไหว้สืบต่อกันมาทำไมตั้งหลายพันปี อีกทั้งของไหว้ ผลไม้ กระดาษ น้ำชา ดอกไม้ ธูปเทียน เมื่อรวมๆ กันแล้ว ใช่จะถูกซะเมื่อไหร่ แพงมาก



สำหรับในบทความนี้ จะเขียนอธิบายการเซ่นไหว้ บวงสรวง ขอพร เทพเจ้าแห่งโชคลาภ (ไฉ่ซิ้งเอี๊ย) ซึ่งอาจจะยืดยาวมาก เพราะเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาอธิบายรวมเข้าไปด้วย คนส่วนใหญ่ที่มานั่งอ่านบทความนี้ ก็จะเกิดมีคำถามว่า

>>> ผลของการเซ่นสรวงไหว้เจ้า กราบไหว้ขอพร มีผลจริงหรือ?


ผู้เขียนขอตอบว่า “มีผลจริง” แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายๆ อย่างเช่น รูปดวงชะตาของบุคคลผู้นั้น ทิศทาง และ ฤกษ์ยาม ที่สอดคล้องกับตัวบุคคล และ ทิศทาง อีกทั้งผู้ปฏิบัติต้องมีความเชื่อสนับสนุนด้วย เชื่อมาก..ได้ผลมาก เชื่อน้อย..ได้ผลน้อย ไม่เชื่อ..ไม่มีผล


ก็จะเกิดมีคำถามขึ้นมาอีกว่า


>>> ถ้าการเซ่นสรวงไหว้เจ้า กราบไหว้ขอพรมีผลจริง อย่างนี้ไม่ต้องทำมาหากิน นั่งรอให้เทพเจ้ามาดลบันดาลให้ ก็ได้งั้นสิ?


คำถามข้อนี้ ต้องตอบว่า คนปกติเขาคงไม่คิดอย่างนั้นกัน ผู้เขียนได้เกริ่นไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า เขามีความเชื่อว่า การกราบไหว้ฟ้าดิน เซ่นไหว้ บวงสรวงเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะนำมาซึ่งความสุข ความเจริญในชีวิต หน้าที่การงาน ธุรกิจ การค้า มีความเจริญรุ่งเรือง มีโชค มีลาภ ร่ำรวยด้วยทรัพย์สินเงินทอง มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ แก่ตนเอง คนในครอบครัวและบริวาร เพื่อขจัดสิ่งเลวร้าย สิ่งอัปมงคล ที่ทำให้ชีวิตติดขัด มีอุปสรรค ไม่ราบรื่น ฯลฯ เขาไม่ได้นั่งงอมืองอเท้า นั่งกระดิกขา รอให้เทพเจ้าทั้งหลายมาช่วย ทุกคนล้วนต้องประกอบภาระกิจหน้าที่การงานที่ตนเองมีทั้งสิ้น


ก็จะเกิดมีคำถามขึ้นมาอีกว่า


>>> ถ้าการเซ่นสรวงไหว้เจ้า กราบไหว้ขอพรมีผลจริง อย่างงี้ก็สามารถขอทุกสิ่งทุกอย่างตามใจปรารถนา เช่น ขอบ้าน ขอรถ ขอรางวัลที่ 1 ขอยศ ขอตำแหน่ง ขออะไรได้สารพัดน่ะสิ?


คำถามข้อนี้ มันไม่ใช่คำถามเชิงอยากได้คำตอบหรอก มันออกจะเป็นคำถามประเภทกวนประสาทซะมากกว่า แต่ถ้าต้องการคำตอบจริงๆ ผู้เขียนก็จะตอบให้ว่า “ก็เคยมีคนเขาขอพรได้นะ แต่ไม่ได้กันทุกคน หากปฏิบัติให้ครบถ้วนถูกต้องตามองค์ประกอบ และ สิ่งที่ขอนั้นไม่เกินกำลังของดวงชะตา แม้ไม่ได้ผลมาก ก็ได้ผลน้อย เรื่องที่ไม่มีผลเลยนั้น เป็นไปไม่ได้แน่ๆ


ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ก็คงมีคำถามอีกมากมายสารพัดสำหรับผู้อ่านที่กำลังสงสัยอยู่ ถ้าจะให้เขียนเป็นคำถามเติมคำตอบในบทความนี้ คงไม่ต้องอธิบายเรื่องอื่นๆ ที่มีประโยชน์กันพอดี ฉะนั้น หากยังมีข้อสงสัย มีคำถาม ก็มาถามกันต่อหน้าเลย ผู้เขียนจะตอบให้ทุกคำถาม การตอบผ่านตัวหนังสือไม่ค่อยสะใจสักเท่าไหร่ เอาเป็นว่า บทความนี้ เขียนให้เฉพาะคนที่เขาพร้อมที่จะปฏิบัติ คนที่เขาจะนำไปใช้พอ นอกเหนือจากนั้นไม่ได้ใส่ใจ การไหว้เจ้า เซ่นสรวง ขอพรเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น หากต้องการให้มีผลจริง ต้องทราบองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง อันได้แก่


1. สถานที่/ทิศทาง

ทิศทางมงคลของเทพเจ้าที่ต้องการเซ่นสรวง ขอพรนั้น อยู่ทางทิศใด เมื่อนับจากจุดเริ่มต้น คือ บ้านของตน ไปยังจุดหมายปลายทางที่ศาลของเทพเจ้าที่ต้องการเซ่นสรวง ขอพรนั้นสถิตย์อยู่ หรือ ทิศทางที่หันหน้าไปไหว้


2. ตัวบุคคล

พิจารณาจากรูปดวงชะตาของบุคคลว่า รูปดวงชะตานั้นๆ มีทิศทางใดเป็นคุณ ทิศทางใดเป็นโทษ ต้องการธาตุใด ไม่ต้องการธาตุใด ในชั้นสูงต้องใช้รูปดวงของบุคคลทั้งปี เดือน วัน เวลา มาเป็นเครื่องพิจารณา ในเบื้องต้นก็ใช้เพียงแค่ปีเกิดของบุคคลเข้ามาพิจารณา


3. ฤกษ์ยาม

ส่วนนี้นับว่าสำคัญที่สุด เพราะต้องนำมาวิเคราะห์ร่วมกันกับทิศทางมงคลที่เทพเจ้าสถิตย์อยู่ และ รูปดวงชะตาของตัวบุคคล ให้สอดคล้องกันทั้ง 3 ปัจจัย การประกอบกิจมงคลใดๆ ก็ตามแต่ จำเป็นอย่างยิ่งต้องใช้ฤกษ์ยาม มาถึงตรงจุดนี้ขอพูดหน่อยนะ เพราะมีบางท่านมาอ้างว่า ตามหลักพุทธศาสนาไม่มีความเกี่ยวข้องกับวิชาโหราศาสตร์ ก็ให้ย้อนกลับไปอ่านพุทธประวัติ ความว่า พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน มีพระนามเดิมว่า สิทธัตถะ โคตมะ ประสูติ ณ สวนลุมพินีวัน ซึ่งอยู่ระหว่าง กรุงกบิลพัสดุ์ กับ กรุงเทวทหะ ในวันเพ็ญเดือน 6 (วิสาขะ) ปีจอ เมื่อก่อนพุทธศักราช 80 ปี ทรงเป็นพระโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ศากยวงศ์ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ (เมืองหลวงของแคว้นสักกะ) กับ พระนางสิริมหามายา ราชธิดาของกษัตริย์โกลิยวงศ์ ผู้ครองนครเทวทหะ ในสมัยนั้น มีดาบสองค์หนึ่งชื่อ อสิตะ หรือ กาฬเทวิล ผู้ซึ่งคุ้นเคยและเป็นที่นับถือของราชตระกูลมาก เมื่อได้ทราบข่าวการประสูติของพระราชกุมาร จึงเข้าไปในพระราชวังเพื่อขอชมพระกุมาร เมื่อท่านได้เห็นพระกุมารมีลักษณะเลิศ ก็ทราบว่า ต่อไปในภายหน้า พระกุมารนี้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จึงได้ลุกขึ้นจากอาสน์คุกเข่าลงถวายอัญชลีแล้วกราบลงที่พระบาทพระกุมาร แล้วก็จึงหัวเราะก้องไปทั้งปราสาท เพราะเห็นว่า เป็นลาภของตนที่ได้เห็นพระกุมารซึ่งมีลักษณะอันประเสริฐเช่นนั้น แต่เมื่อพิจารณาเห็นว่า ตนจะต้องตายเสียก่อน จึงพลาดโอกาสที่จะได้มรรคผลและนิพพาน มีความเสียดายนักจึงได้ร้องด้วยเสียงอันดัง บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ได้เห็นดังนั้นจึงพากันพิศวงยิ่งนัก ก็พากันไถ่ถามพระดาบส เมื่อได้ทราบว่า พระกุมารจะเป็นผู้มีเดชานุภาพยิ่งใหญ่ต่อไปในภายหน้า ต่างก็พากันกราบพระกุมาร แม้พระเจ้าสุทโธทนะเองก็ยอกรกราบอภิวันทนาการพระกุมารเช่นกัน แล้วดาบสก็ทูลลากลับ เมื่อพระกุมารประสูติได้ 5 วัน พระเจ้าสุทโธทนะทรงประกอบพิธีทำนายลักษณะ และ ขนานพระนามโดยเชิญพราหมณ์ 108 คนมา แล้วได้คัดเลือกเอาพราหมณ์ชั้นยอด 8 คน ให้เป็นผู้ทำนายลักษณะพระกุมาร พราหมณ์ 7 คน ได้ทำนายเป็นนัย คือ ถ้าพระกุมารครองความเป็นฆราวาสต่อไปจะได้เป็นบรมจักรพรรดิ ถ้าพระกุมารออกบรรพชาจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาเอกของโลก แต่โกณฑัญญะพราหมณ์หนุ่ม ได้ทำนายไว้เพียงประการเดียวว่า “พระกุมารจะต้องออกบรรพชา และ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน” แล้วพราหมณ์เหล่านั้นก็ได้ก็ขนานพระนามพระกุมารว่า “สิทธัตถะ” ซึ่งหมายความว่า “ต้องการอะไรเป็นสำเร็จทุกอย่าง” นี้ก็มีให้เห็นว่า วิชาโหราศาสตร์การทำนายทายทักก็เป็นเรื่องเชื่อถือได้อยู่


และในส่วนที่มีผู้นำเอาพุทธพจน์ มาค้านว่า พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงให้ความสำคัญของฤกษ์ยามนั้น ก็ควรอ่านพุทธพจน์นั้นให้ละเอียดดีเสียก่อนความว่า “สัตว์ทั้งหลายประพฤติชอบเวลาใด เวลานั้นชื่อว่า เป็นฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี ขณะดี ยามดี ...ดูก่อนภิกษุทั้งหลายสัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ในเวลาเช้า เวลาเช้าก็เป็นเวลาเช้าที่ดีของสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ในเวลาเที่ยง เวลาเที่ยงก็เป็นเวลาเที่ยงที่ดีของสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ในเวลาเย็น เวลาเย็นก็เป็นเวลาเย็นที่ดีของสัตว์เหล่านั้น”


ขออธิบายคำว่า “ประพฤติชอบ” ตามพุทธพจน์นี้ก่อน ในความหมายของคำว่า ประพฤติชอบในพุทธพจน์นี้ คือ การไม่ทำความชั่ว 1 การทำความดี 1 การรักษาจิตให้ผ่องใส 1 การช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน 1 อันนี้ คือ ประพฤติชอบในส่วนของพุทธพจน์นี้ ส่วนคำว่า “สุจริต” ตามพุทธพจน์นี้ คือ สุจริตแบบมิได้เจือด้วยอามิสใดๆ คือ การกระทำการปฏิบัติด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่มีการหวังผล หรือ มีสิ่งของวัตถุเครื่องล่อใจหรือเครื่องประกอบ


เมื่อเป็นเช่นนี้ การแต่งงาน การหมั้น การจดทะเบียน การออกรถ เปิดร้านค้า เปิดกิจการ ทำสัญญา สร้างบ้าน ตั้งเตา ตั้งเตียง การบวงสรวง เซ่นไหว้ขอพร ทั้งหลายเหล่านี้ก็ล้วนเจือด้วยอามิสด้วยการหวังผลทั้งนั้น เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องของโลก ถ้าจะใช้ฤกษ์สะดวกก็ใช้ไป แต่อย่าเอาพุทธพจน์เอาอรรถเอาธรรมนี้มาอ้างเข้าข้างตัวเองไม่ได้ มันเป็นคนละส่วนกัน ปัญหาของผู้อ้างที่นำเอาพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้ามากล่าวคัดค้านฤกษ์ยามกับวิชาโหราศาสตร์นั้น จริงๆ แล้ว ไม่ว่าเจตนาของผู้ค้านจะไปในทางใด ก็ควรต้องพิจารณาแบ่งแยกให้ออกระหว่าง “โลก” กับ “ธรรม” ธรรมนั้นอยู่เหนือโลก ธรรมเป็นเครื่องปลดเปลื้องทุกข์ของสัตว์โลก ส่วนสัตว์โลกที่ยังติดอยู่ในวังวนแห่งสงสารวัฏนั้นล้วนต้องอาศัยโลกเพื่อให้เข้าถึงธรรม ธรรมต้องอาศัยอยู่กับโลก ไม่มีโลก...ธรรมก็อยู่ไม่ได้ ผู้เห็นธรรมรู้ธรรมก็คือ ผู้มารู้มาเห็นโลกตามเป็นจริง แล้วเบื่อหน่ายคลายจากโลกนี้นั่นเอง การที่ผู้พูดจะเอาธรรมมาคัดค้านโลก หรือ เอาโลกมาคัดค้านธรรม ก็จะเห็นไม่ถูกเสียทั้งหมด เรื่องของโหราศาสตร์นั้นมีมาช้านานก่อนเกิดพระพุทธศาสนาด้วยซ้ำไป แม้จะไม่ใช่ทางที่ทำให้บุคคลก้าวล่วงออกจากกองทุกข์ได้ ก็ยังพอเป็นเครื่องอาศัยเป็นเครื่องรักษากำลังใจให้สัตว์โลกได้มีแนวทางในการดำเนินชีวิตในโลกบ้างไม่มากก็น้อย ตามธรรมดาของคนทั้งหลายที่จะข้ามฝั่งน้ำมหาสาครย่อมต้องอาศัยเรือ เพื่อใช้เป็นพาหนะ เป็นเครื่องเกาะเครื่องยึด เพื่อให้ข้ามผ่านฝั่งน้ำมหาสาครไปให้ได้ ต่อเมื่อข้ามฝั่งไปได้แล้วนั้น ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องแบกเรือขึ้นฝั่งตามไปด้วย ..เรื่องของโหราศาสตร์..เรื่องของฤกษ์ยาม..ก็เหมือนกัน เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่ถึงฝั่งก็ปล่อยวางละทิ้งไปเอง แต่ให้เข้าใจว่า ขณะนี้เรากำลังอยู่ท่ามกลางน้ำมหาสาคร จะกระโดดลงกลางคันก็จะจมน้ำตายเสียเปล่า อันนี้ให้เข้าใจตามนี้นะ ใครที่เห็นต่าง ก็ไม่ได้บังคับให้มาเชื่อตามหรือให้มาทำตาม เชื่อใครเชื่อมัน


หรือบางท่านอาจค้านว่า ก็ไหว้มาตลอด ไม่เห็นต้องใช้ฤกษ์ยาม บ้างก็ว่า ไหว้เทพเจ้ามงคล ไม่จำเป็นต้องหาฤกษ์ยามหรอก ไหว้สิ่งดีๆ ก็ต้องได้รับสิ่งดีๆ สิ ก็เพราะคิดอย่างนั้นไง การประกอบกิจ ไหว้เจ้า เซ่นสรวง ขอพร จึงไม่มีผล พอไม่มีผล ก็พาลหาว่า เป็นเรื่องงมงายบ้าง ไร้สาระบ้าง ไม่มีอยู่จริงบ้าง ก็เล่นทำตัวเป็นเถรส่องบาตร เห็นชาวบ้านเขาไหว้ ฉันไหว้บ้าง ผมไหว้บ้าง กูไหว้บ้าง เขาว่าไหว้แล้วดี กูก็ทำมั้ง แล้วเคยลองถามตัวเองก่อนไหมล่ะว่า ที่เคยไหว้มานั้น ไหว้แล้วมีผลไหม? ถ้าที่เคยไหว้แล้วมีผล ก็ไม่ต้องมาซีเรียส มาเอาตามที่ผู้เขียนบอก แล้วถามต่อนะว่า ที่ไหว้นั้น ไหว้เพราะอยากได้รับผลดีอย่างเขาใช่หรือไม่? ถ้าไหว้แล้ว อยากได้รับผลดีอย่างเช่นเขา ก็ต้องทำให้ถูกต้องเหมือนกับเขา เขาที่ว่า คือ คนที่รู้จริงนะ อันนี้ว่ากันตามคนที่เขารู้จริง ไม่ใช่เขาวัวเขาควาย ที่บอกว่าไหว้ตามกัน ไอ้คนที่เราตาม มันก็อาจจะมั่วเหมือนกัน เพราะเรื่องของฤกษ์ยามนี้ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ มีทั้งคุณและโทษ มีความสลับซับซ้อน การจะคำนวณให้ได้มาซึ่งฤกษ์ยามมงคลนั้นไม่ใช่ของง่ายๆ ซะด้วย ต้องอาศัยความชำนาญ ความเข้าใจ และ ต้องรู้กฏ รู้ระเบียบ มีสำนวนจีนของปรมาจารย์อันได้กล่าวถึงความสำคัญของเวลา (ฤกษ์ยาม) ไว้ดังต่อไปนี้




天不得時,日月無光 (เทียงปุกติ๊กซี้, ยิกง้วยบ่อกวง)
ฟ้ายังไม่ได้เวลา ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ไม่มีแสง


地不得時,萬物不生 (ตี่ปุกติ๊กซี้, บ่วงม้วยปุกแซ)
พื้นดินยังไม่ได้เวลา สรรพสิ่งไม่เกิด


水不得時,風浪不靜 (จุ้ยปุกติ๊กซี้, ฮวงลั้งปุกแจ๋)
น้ำยังไม่ได้เวลา คลื่นลมไม่สงบ


人不得時,利路不通 (นั๊งปุกติ๊กซี้, หลีโหล่วปุกทง)
คนยังไม่ได้เวลา งานการไม่ราบรื่น


鬼不得時,地獄不超 (กุ้ยปุกติ๊กซี้, ตี่เง็กปุกเทียว)
ผียังไม่ได้เวลา นรกไม่ให้ไปผุดไปเกิด


神不得時,求之不靈 (ซิ้งปุกติ๊กซี้, คิ้วจือปุกเล้ง)
เทพเจ้ายังไม่ได้เวลา ขออะไรก็ไม่สัมฤทธิ์ผล


โดยสรุปแล้ว “การประกอบพิธีมงคลใดๆ ที่หวังผลให้เกิดเรื่องดีๆ นั้น หาก ทิศทาง ไม่เหมาะสมกับ ดวงชะตา แล้ว การไหว้ก็ไม่มีผล ฤกษ์ยาม ไม่มีความสอดคล้องกับ ดวงชะตา การไหว้ก็ไม่มีผล ฤกษ์ยาม กับ ทิศทาง ไม่มีความสอดคล้องกัน การไหว้ก็ไม่มีผล รวมความว่า การกระทำนั้นๆ ก็ไม่มีผล คือ ไม่มีผลดี ที่สำคัญหากฤกษ์ยาม ปี เดือน วัน เวลานั้นๆ เกิดปะทะกับรูปดวงชะตาของเจ้าชะตา แทนที่ว่า การไหว้เจ้า เซ่นสรวง ขอพร จะเป็นเรื่องมงคล กลับกลายเป็นว่า เกิดเรื่องอัปมงคลขึ้นมาก็เป็นได้ ฉะนั้น อันนี้ต้องรู้ อย่าโง่ให้ใครมาหลอกได้”




ฤกษ์มงคล เซ่นสรวง ขอพร เทพเจ้าแห่งโชคลาภ (ไฉ่ซิ้งเอี๊ย)


《立春中原時酉初三刻一分十七時四十六分》[ลิบชุงตงง้วงซี้อิ้วชิวซาเข็กอิกฮุงจั๊บฉิกซี้สี่จั๊บหลักฮุง] เปลี่ยนสารทเข้าเทศกาลลิบชุง เวลา 17.46 น. ของวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2559 วันจีนตรงกับวัน 丙申年《猴》十二月《庚寅》廿六日《丙辰》丁酉時 [เปี้ยซิมนี้(เก๊า) จั๊บยี่ง้วย(แกอิ๊ง) ยี่จั๊บลักยิก(เปี้ยซิ้ง) เต็งอิ้วซี้] อันนี้นับตามปฏิทินสุริยคติ


และเทศกาลตรุษจีนในปี 2559 คือ 丙申年《猴》正月《庚寅》初一日《庚申》[เปี้ยซิมนี้(เก๊า) เจี่ยง้วย(แกอิ๊ง) ชิวอิกยิก(แกซิม)] ตรงกับ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2559 โดยจะนับเอาวันที่ 1 เดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติเป็น “วันตรุษจีน” ซึ่งเป็นเทศกาลที่สำคัญของคนจีน เพราะชาวจีนถือว่า วันตรุษจีน คือ วันขึ้นปีใหม่ของจีน (ปฏิทิน “จันทรคติ” เป็นปฏิทินรูปแบบหนึ่ง ใช้การโคจรของดวงจันทร์รอบโลกเป็นเกณฑ์ใน 1 ปี มี 12 เดือน ในเดือนคู่จะมี 30 วัน ส่วนเดือนคี่จะมี 29 วัน รวม 1 ปี จะมี 354 วัน ทำให้ต่างจากระบบปฏิทินสากล ซึ่งเป็นแบบปฏิทิน “สุริยคติ” ถึง 11 วัน)




สำหรับการไหว้เทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี๊ย ช่วงเวลาที่นิยมใช้ที่สุด เห็นจะเป็นเวลา 子時 (จื้อซี้) 23.00-00.59 น. คือ จะไหว้กันในคืนวัน 三十(ซาจั๊บ) คาบเกี่ยวจะเข้าวัน 初一(ชิวอิก) อันนี้ว่ากันไปตามเขาบ้าง ว่ากันไปตามประเพณีบ้าง โดยมีความเชื่อว่า “การไหว้ขอพรเทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี้ยในวันที่หนึ่ง เดือนแรกของปีนั้น จะทำให้มีโชคลาภตลอดทั้งปี”


สำหรับบทความการไหว้เจ้าขอพรเทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี้ยของปีนี้ ผู้เขียนมีข้อแนะนำและคำอธิบายอันเกี่ยวเนื่องกับวิชาฤกษ์ยามชั้นสูงตามกฏดังจะยกขึ้นมาแสดงต่อจากนี้ “ปรมาจารย์เตียจื่อปั้งปรมาจารย์ในสมัยราชวงศ์ฮั่นบันทึกเกี่ยวกับฤกษ์ยามไหว้เจ้าของพรดังมีใจความว่า 月破日拜神祈福忌儀式動作禍臨兩月注定必 (ง้วยผัวะยิกไป่ซิ้งขี่หกกี๋หงี่เส็กต่งจักหั่วลิ้มเหลี่ยงง้วยจู๋เตี๋ยปิ๊ก) - วันแตก (เดือนชงวัน) ห้ามไหว้เจ้าขอพรอาจได้รับผลร้ายภายใน 60 วัน อันนี้คือตามหลักวิชาโหราศาสตร์จีนชั้นสูง ซึ่งปรมาจารย์แต่หนเก่าหนหลังท่านชี้แจงไว้”


เมื่อตัวผู้เขียนเองเป็นอาจารย์ผู้สอนวิชาโหราศาสตร์จีนและก็เป็นซินแสชั้นรู้จริง ย่อมต้องปฏิบัติตามปรมาจารย์ชั้นรู้จริงแต่โบราณ ไอ้ประเภทจะมาลอกเอาตามคนนั้นคนนี้แล้วมาเขียนบทความแบบนั้นไม่เอา ไม่เชื่อน้ำมนต์มันนะ คนพวกนั้นมันยังไม่ขลังพอ ครั้นจะมานั่งเขียนบทความชี้แนะให้คนไหว้เทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี้ยในวันผัวะนั้นก็คงทำไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะผิดออกไปจากคำสอนของปรมาจารย์ การเขียนแบบนั้นเรียกเขียนส่งเดช เขียนแบบอาจารย์โหราศาสตร์จีนชั้นไม่รู้จริง เพราะถือว่าเป็นการเขียนบทความเชิงชี้แนะที่ไม่ถูกต้อง ฉะนั้น ใครที่เห็นว่า กฏปฏิบัติของปรมาจารย์มีความสำคัญและถูกต้องตามหลักวิชาโหราศาสตร์จีนก็ควรปฏิบัติตาม ส่วนใครที่ยึดเอาตามเขาบ้าง ว่ากันไปตามประเพณีบ้าง ก็ให้ไหว้ตามวันเขาไปในวันชิวอิก


วัน 日 (ยิก)
เดือน 月 (ง้วย)
申 (ซิม)
 เดือน 寅 (อิ๊ง) ประมาณวันที่ 3-5 กุมภาพันธ์
酉 (อิ้ว)
 เดือน 卯 (เบ้า) ประมาณวันที่ 4-6 มีนาคม
戍 (สุก)
 เดือน 辰 (ซิ้ง) ประมาณวันที่ 4-5 เมษายน
亥 (ไห)
 เดือน 巳 (จี๋) ประมาณวันที่ 5-6 พฤษภาคม
子 (จื้อ)
 เดือน 午 (โง่ว) ประมาณวันที่ 5-6 มิถุนายน
丑 (ทิ่ว)
 เดือน 未 (บี่) ประมาณวันที่ 7-8 กรกฎาคม
寅 (อิ๊ง)
 เดือน 申 (ซิม) ประมาณวันที่ 7-8 สิงหาคม
卯 (เบ้า)
 เดือน 酉 (อิ้ว) ประมาณวันที่ 6-7 กันยายน
辰 (ซิ้ง)
 เดือน 戍 (สุก) ประมาณวันที่ 7-8 ตุลาคม
巳 (จี๋)
 เดือน 亥 (ไห) ประมาณวันที่ 6-8 พฤศจิกายน
午 (โง่ว)
 เดือน 子 (จื้อ) ประมาณวันที่ 6-8 ธันวาคม
未 (บี่)
 เดือน 丑 (ทิ่ว) ประมาณวันที่ 4-6 มกราคม

               หมายเหตุ!!! ตารางด้านบนแสดงวันใดๆ ที่ชงกับเดือน (วันจีนต้องดูในปฏิทินจีน)



ในปี 2557 ที่ผู้เขียนได้เคยเขียนชี้แนะเรื่องการไหว้ขอพรเทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี้ยไว้ว่า “ในวัน 初一(ชิวอิก) 正月(เจี่ยง้วย) ปี 2557 ตรงกับ วัน 寅(อิ๊ง) ตามกฏตามบันทึกของปรมาจารย์แซ่แผ่ท่านว่า วัน 寅(อิ๊ง) ห้ามไว้เจ้าขอพร” ก็ปรากฏว่า มีผู้สนใจมาอ่านบทความมากกว่า 80,000 IP ภายในไม่กี่วัน (คงไม่ได้มีเฉพาะคนสนใจเรื่องราวโหราศาสตร์จีนเท่านั้นที่เข้ามาอ่าน แต่มันจะต้องมีหมอดูดวงจีนและซินแสชั้นไม่รู้จริงที่คอยจ้องลอกข้อมูลตรงนั้นตรงนี้เอาไปโม้หารับประทานมาอ่านแน่ๆ) ซึ่งผู้ที่ได้อ่านก็คงจะเกิดความลังเลสงสัยว่า ตกลงมันยังไงกัน เพราะหมอดูดวงจีนและซินแสที่ชอบ Present Face ตามสื่อต่างๆ ก็พากันเสนอหน้าออกมาพูดกันว่า “ให้ไหว้ขอพรเทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี้ยของปี 2557 ในวัน 初一(ชิวอิก) 正月(เจี่ยง้วย)” ก็คงมีแต่ข้าพเจ้าเท่านั้นที่บอกว่าไหว้ไม่ได้ มันผิดกฏปรมาจารย์ หลายท่านจึงอาจเกิดความลังเลสงสัย หรือ อาจไม่เชื่อไปเลย ถึงขนาด E-mail และ โทรศัพท์เข้ามาสอบถามเป็นจำนวนมาก เพราะเกิดความสับสนไปหมด ไม่รู้จะเชื่อข้อมูลของใครดี มีบางคนที่เขามาอ่านบทความที่ข้าพเจ้าเขียนแล้วไปถามกับหมอดูดวงจีนและซินแสชั้นไม่รู้จริงว่า “ตกลงว่า ปี 2557 ไหว้ขอพรเทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี้ยในวัน 初一(ชิวอิก) 正月(เจี่ยง้วย) ซึ่งตรงกับวัน 寅(อิ๊ง) ได้หรือไม่?” หมอดูดวงจีนและซินแสชั้นไม่รู้จริง มันก็ตอบเหมือนกันหมดทุกคนว่า “ไหว้ได้ ทำไมจะไหว้ไม่ได้ ใครห้าม ไม่มีหรอกกฏข้อห้ามแบบนี้ คนที่ห้ามคงรู้ไม่จริง” (อันนี้เขามาเล่าให้ฟัง) ข้าพเจ้าได้ฟังแล้วรู้สึกสงสารคนพูดมาก เออเอากับมันสิ นี่มันรู้ไม่จริงนี่ไม่ว่า มันยังกล้าเอาความรู้เท่าหางอึ่งมาทับมาถมเรา คนพวกนี้มันหลอกตัวเองว่ามันรู้จริงยังไม่พอ มันยังแสดงละครหลอกคนอื่นๆ อีก ว่ามันรู้จริงอีก แบบนี้มันก็คงไม่รู้ต่อไป อย่างนี้เขาไม่เรียกอวดดี เขาเรียกอวดเลว อวดโง่ ต่อมาพอถึงปี 2558 ในวัน 初一(ชิวอิก) 正月(เจี่ยง้วย) ก็มาตรงกับวัน 寅(อิ๊ง) อีก ข้าพเจ้าก็เขียนแจงเหมือนเดิมว่า “ปี 2558 นี้ไหว้ไม่ได้เหมือนปีที่แล้ว เพราะวัน 初一(ชิวอิก) 正月(เจี่ยง้วย) ปี 2558 ตรงกับวัน 寅(อิ๊ง) อีกเหมือนกับปี 2557” แต่คราวนี้ก็มีเหล่าบรรดาหมอดูดวงจีนและซินแสชั้นไม่รู้จริงมาอ่านบทความที่ข้าพเจ้าเขียนไว้ มันก็พากันอัพเดทความรู้แล้วจึงไปเที่ยวโม้ ออกทีวีออกสื่อว่า “ปี 2558 นี้ วัน 初一(ชิวอิก) 正月(เจี่ยง้วย) ไหว้ขอพรเทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี้ยไม่ได้นะ เสือขาวลง ไหว้แล้วไม่ดี” นี่แสดงว่า มันไม่มีความละอาย แต่ก็ช่างเถอะยังไงก็ตาม เคล็ดลับวิชาของปรมาจารย์ ที่ข้าพเจ้าถือไว้มันก็ไม่ได้หลุดได้ลอดไปหาคนพวกนี้หรอก ถ้าจะได้ไปก็คงจะได้ไปแค่สะเก็ดกับเปลือกวิชาเท่านั้น ชาตินี้ทั้งชาติมันก็คงเป็นได้แค่คนที่อยากเป็นอยากบรรลุ เป็นได้แค่นักแสดง แต่มันคงไม่ได้เป็นไม่ได้บรรลุวิชาจริงๆ

สำหรับในปี 2559 นี้ วัน 初一(ชิวอิก) 正月(เจี่ยง้วย) ไปตรงกับวันผัวะ (คือวันที่ถูกเดือนปะทะ ซึ่งคำว่า “ผัวะ” อันนี้เป็นคนละผัวะในวิชาดวงจีน)



สำหรับคนที่ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจเรื่องระบบโหราศาตร์จีน เขาก็ไหว้ไปตามปกติ อันนั้นไม่ว่ากัน แต่คนที่มันตั้งตัวเป็นหมอดูดวงจีนเป็นซินแส ถ้ามันบอกชาวบ้านชาวเมืองให้ไหว้นี่แล้วละก็ มันก็บ่งบอกถึงภูมิความรู้ที่มันมีนะ มันไม่ได้เข้าใจไม่ได้รู้เลยว่าสิ่งที่มันรู้นั้นไม่ถูกไม่จริงผิดจากบัญญัติของปรมาจารย์ ถึงแม้ว่ามันจะแถจะอ้างว่าใช้ฤกษ์ยามระบบใดๆ ก็ตาม เพราะต่อให้รูปฤกษ์ในหลักวิชาฤกษ์ยามนั้นมันได้ก็จริง แต่กิจกรรมต่างๆ ไม่อนุญาตให้มีกิจกรรมไหว้เจ้าขอพร ทำไมหรือ? ก็เพราะข้าพเจ้าได้ตรวจดูกฏข้อบังคับของฤกษ์ยามแล้วทุกระบบจึงกล้ายืนยัน


ทีนี้ก็จะมีคนถามว่า แล้วไหว้อย่างอื่นล่ะ ไหว้ได้ไหม? ขอตอบว่า จะไหว้อะไรไหว้ได้ทั้งหมด แต่ห้ามไหว้เจ้าขอพร ห้ามไหว้เทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี้ย ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การถือธรรมเนียมปฏิบัติตามโบราณตามประเพณีก็อย่างหนึ่ง การประกอบพิธีกรรมไหว้เจ้าเพื่อหวังผลก็อย่างหนึ่ง บางครั้งอาจต้องละทิ้งธรรมเนียมปฏิบัติอันเดิม แล้วยึดเอาตามกฎข้อบังคับตามระบบวิชาฤกษ์ยามของปรมาจารย์ตั้งแต่โบราณ ซึ่งหากจะมีผู้ถามว่า “ตนก็ยึดเอาตามฤกษ์ยามเหมือนกัน แต่จะขอละเว้นข้อบังคับ/ข้อห้ามของปรมาจารย์ที่ห้ามไหว้เจ้าขอพรวันผัวะได้หรือไม่?” ผู้เขียนขอตอบว่า “หากจะละเว้นข้อบังคับ/ข้อห้ามของปรมาจารย์ ก็ให้ละเว้นข้อบังคับ/ข้อห้ามในวิชาฤกษ์ยามทั้งหมดเลย เพราะหากจะเลือกงดเว้นกฎใดกฎหนึ่ง แล้วไปยึดเอาตามกฏที่ชอบใจ ก็ไม่ต้องยึดกฎอะไรแล้ว ในส่วนการคำนวณหาฤกษ์ยามมงคลนั้นล้วนต้องใช้กฎข้อบังคับของปรมาจารย์มาพิจารณา หากจะมายกเว้นเฉพาะข้อบังคับ/ข้อห้ามของปรมาจารย์ เพียงแค่ให้ถูกใจตน เพื่อความสะดวกของตน ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วจะมาคำนวณหาฤกษ์ยามมงคลหาสวรรค์วิมาน หาเหตุหาผลอันใด ขอเชิญเลือกเอาวันเวลาตามชอบใจไปเสียเลยจะดีกว่า เห็นจะง่ายดี แต่หากจะหวังผลดี หวังผลหลังจากการไหว้ด้วย กฏต้องมีกฏมีแบบมีแผนเอาตามบันทึกของปรมาจารย์มาอ้างอิง ถ้าคิดเอาเลือกเอามโนเอาตามความชอบ ตามใจ ตามสะดวกตน อันนี้ไม่ขอรับรอง เนื่องจากไม่มีหลักวิชาใดๆ มารองรับ และ ต้องทราบว่า การใช้ฤกษ์สะดวกแบบตามใจตัวเองนั้น หากใช้แล้วเกิดผลร้ายก็ต้องยอมรับเอาผลนั้นด้วยตัวเอง”



เรื่องของวิชาโหราศาสตร์จีนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการศึกษาวิชาฮวงจุ้ย ดวงจีน และ ฤกษ์ยาม ล้วนต้องมี “บันทึกของปรมาจารย์” มารองรับ จะมามโนเอา คิดค้นขึ้นมาเอง ตั้งกฎขึ้นมาเอง มันก็เหมือนคนหลอกตัวเอง ไอ้หลอกตัวเองนี่ยังไม่เท่าไหร่ แต่เอาสิ่งที่หลอกตัวเองไปหลอกชาวบ้านต่อ อย่างนี้อาการหนัก เพราะ มโนธรรม+คุณธรรม ไม่มีเหลือแล้ว ก็เล่นสะกดจิตตัวเอง หลอกตัวเอง จนหลงเข้าใจว่า สิ่งที่ตนคิดค้นขึ้นมาหลอกตัวเองและชาวบ้านกลายเป็นเรื่องจริงไปซะอย่างนั้น อย่างนี้ชาวบ้านธรรมดาเขาเรียกคนบ้า ถ้าศรีธัญญา เขาเรียกคนป่วย ถ้าเป็นอย่างนี้ ขอเชิญรับยาที่ช่อง 2


ความรู้ในฝ่ายโหราศาสตร์จีนนั้น อาจดูเป็นเหมือนนามธรรม แต่จริงๆ แล้ว ถ้าศึกษาจนเข้าใจทะลุปรุโปร่งลึกซึ้งถึงแก่นของวิชาก็สามารถแสดงออกมาเป็นรูปธรรมได้ เรื่องนี้ผู้เขียนขอยืนยัน ใครก็ตามที่อ้างว่า ตนบรรลุวิชาโหราศาสตร์ แต่ไม่สามารถแสดงให้เห็นได้ แต่ก็เที่ยวประกาศปาวๆ ว่าตนเป็น ว่าตนบรรลุ ว่าตนเรียนมาจากตรงนั้นตรงนี้ ว่าตนสืบทอดมาจากตรงนั้นตรงนี้ ไม่ว่าจะกี่ปีกี่เดือนก็ตาม มันก็เป็นแค่นิยายลวงโลกที่โกหกหลอกแดกชาวบ้านไปวันๆ เท่านั้นเอง อันนี้ขอเตือนทุกคนนะ ถ้าใครก็ตามที่คิดจะเรียนโหราศาสตร์จีน หรือ กำลังศึกษาอยู่ ไม่ว่าจากสำนักไหนก็ตาม ก็ให้คนสอนแสดงความอัศจรรย์ของวิชาความรู้นั้นๆ ให้ประจักษ์แจ้งแก่ตาแก่ใจของตนเองเสียก่อน จึงค่อยปักใจเชื่อเขาก็ยังไม่สาย อย่ารีบด่วนเชื่อเพราะคำพูดคำจาลีลาท่าทางที่เขาแสดงออกมา ถ้าเป็นอย่างนั้นจะโดนหลอกเอาง่ายๆ ถ้าเรียนมาตั้งนาน เรียนมาตั้งหลายปี ได้ฟังแต่เขา ได้เชื่อแต่เขา แต่ไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นเป็นรูปธรรม มันก็ไม่ใช่แล้ว ให้พยายามถามบ่อยๆ ซักบ่อยๆ อันความจริงวิชาจริงนั้น พูดกี่ร้อยครั้งก็จริงร้อยครั้ง แต่ถ้าเรื่องโกหกวิชาโกหก ถามสามครั้งก็ไม่เหมือนเดิมซักครั้ง มิหนำซ้ำเมื่อนำมาใช้งานจริง กลับไม่สามารถทำให้บรรลุผลสำเร็จดังที่หวังไว้ อย่างนั้นล่ะไม่ใช่แน่ๆ อันนี้เตือนด้วยความหวังดีนะ คิดให้ออก คิดให้ได้ อย่าเอาความโลภ อย่าเอาความอยากมาบังตาตนเอง จะมานั่งเสียใจ เสียดายเวลาในภายหลัง สำหรับผู้ศึกษาวิชาโหราศาสตร์ทุกแขนง ต้องทราบว่า เราเรียนเพราะจะเอาหลักวิชาที่เป็นจริง เรียนเอาหลักวิชาที่สามารถนำมาใช้ให้เกิดผลจริง เกิดประโยชน์จริง เพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่น ส่วนตัวผู้เขียนนั้น ณ จุดนี้ ตรงนี้ วันนี้ ขอยืนยันว่า หลักการและวิชาการที่นำมากล่าวบอกสอนชี้แนะท่าน ได้ผ่านการกลั่นกรอง ฝึกฝนจนรู้แจ้งเห็นจริง พิสูจน์ออกมาเป็นรูปธรรมได้ทั้งหมด มีหลักการและบันทึกของปรมาจารย์รองรับ ไม่ได้ยกเมฆ มโนคิดค้นขึ้นมา เหมือนที่หลายๆ คนเขาทำกัน


ส่วนผู้สนใจวิชาโหราศาสตร์จีน ที่มุ่งหวังเพียงต้องการนำเอาผลลัพธ์ไปปรับใช้กับชีวิตของตนเฉยๆ ไม่ได้คิดจะศึกษาหาความรู้ให้ยุ่งยาก ก็ควรรู้ไว้ด้วยเช่นกันว่า ก่อนจะเชื่อหลักการ แนวทาง วิธีการ ที่คนนั้นบอก คนนี้บอก ต้องพิจารณาให้ดีให้ถี่ถ้วน ทุกอย่างจะต้องมีเหตุมีผล ไม่ใช่เขาบอกให้เอาอันนั้นมาห้อย มาแขวน เอาอันนี้มาวาง มาตั้ง ซื้อเบอร์โทรนั้นมาใช้ เอาทะเบียนนี้มาติด จะดี จะรวย จะเป็นเศรษฐี จะสมหวังเรื่องการงาน ความรัก ก็เชื่อเขาไปหมด ยอมซื้อมาใช้ซื้อมาติด บอกติดแล้วรวย ใช้แล้วรวย อันนี้เขาเรียกว่า เชื่อแบบคนโง่ๆ เป็นอธิโมกข์ศรัทธา เชื่อโดยไม่พิจารณาไตร่ตรอง อย่างเรื่องการไหว้เจ้าขอพรก็เช่นกัน ที่กล่าวมาทั้งหมดยังไม่ต้องเชื่อนะ ให้พิจารณา ให้คิดตามด้วยสติของตนเอง แล้วจะได้คำตอบเอง


ที่นี้มาเรื่องการไหว้เจ้าขอพร จากที่กล่าวมาข้างต้นว่า การไหว้เจ้าขอพรเพื่อรับเอาพลังงานจากฟ้า-ดิน ต้องอาศัยองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ

1. สถานที่/ทิศทาง

2. ตัวบุคคล

3. ฤกษ์ยาม ปี เดือน วัน เวลาที่เป็นมงคล



ถ้าองค์ประกอบทั้ง 3 อย่าง ครบถ้วน และ ถูกต้อง การไหว้เจ้าขอพรเพื่อรับเอาพลังงานของฟ้า-ดิน อาจช่วยบรรเทาผ่อนหนักให้เป็นเบา จากเหตุเภทภัย เรื่องร้าย เคราะห์ร้ายใดๆ อันเกิดขึ้นกับตัวบุคคล ซึ่งเป็นผลมาจากตัวจรที่เข้ากระทบรูปดวง อาจส่งเสริมดวงชะตาให้ดีขึ้นบ้าง ในขณะที่ดวงชะตาของบุคคลผู้นั้นอยู่ในช่วงตกต่ำ หรือ ส่งเสริมให้เกิดผลสูงส่งยิ่งขึ้น หากรูปดวงชะตาของผู้นั้นอยู่ในช่วงเจริญรุ่งเรือง ทั้งยังอาจทำให้บรรลุจุดประสงค์ เจริญรุ่งเรือง สมหวังตามความมุ่งมาดปรารถนา


เอาล่ะเกริ่นมาก็เยอะ ขอวกกลับเข้าเรื่องเลยแล้วกัน สำหรับฤกษ์ไหว้เจ้าขอพรเทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี๊ย (เทพเจ้าแห่งโชคลาภ) อาจมีผู้สงสัยว่า ทำไมเขาไหว้กันช่วงต้นปี (ในช่วงเทศกาลตรุษจีน เวลานับตั้งแต่วันตรุษจีนไปไม่เกิน 7 วัน เพราะเชื่อกันว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเริ่มต้นของปี หากเริ่มต้นดี ก็มักจะมีสิ่งดีๆ เข้ามาตลอดทั้งปี ดังที่กล่าวมาแล้วในช่วงต้น แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว ก็ยังมีข้อยกเว้นว่า การกราบไหว้ขอพรเทพเจ้าแห่งโชคลาภนี้ หากผู้นับถือศรัทธาจะหาฤกษ์ยามมงคลที่เหมาะสมกับดวงชะตาตัวเองไหว้ตลอดทั้งปีก็ยังได้ ไม่มีข้อยกเว้น อันนี้คือ อ้างอิงตามคัมภีร์ 拜神招財 (ไป่ซิ้งเจียวใช้) ทีนี่มาดูองค์ประกอบทั้ง 3 ของการไหว้เทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี๊ยของปีนี้กัน



องค์ประกอบที่ 1: ฤกษ์ยาม


ฤกษ์ยามมงคลที่ใช้ไหว้ เทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี๊ย ตรงกับ ปี เดือน วัน เวลา ที่เป็นมหามงคล คือ 丙申年《猴》正月《庚寅》初五日《甲子》[เปี้ยซิมนี้(เก๊า) เจี่ยง้วย(แกอิ๊ง) ชิวโหงวยิก(กะจื้อ)] ตรงกับวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2559 ซึ่งวันนี้ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการกราบไหว้ขอพรไฉ่ซิ้งเอี๊ย คือ เวลา 《卯時》เบ้าซี้ คือ ตั้งแต่เวลา 05.00-06.59 น.(ฤกษ์นี้เป็นฤกษ์ฟ้าประทานพร) และรูปฤกษ์ดังกล่าวยังเหมาะสำหรับ 開工 (ไคกัง) คือ เปิดกิจการเริ่มงานใหม่ หลังจากหยุดงานในช่วงตรุษจีนได้ด้วย




องค์ประกอบที่ 2: ตัวบุคคล


ฤกษ์ยามมหามงคลนี้ จะมีผลดีมาก ดีน้อย ไม่มีผล หรือ เกิดผลร้าย ในชั้นสูงการพิจารณาอย่างละเอียดต้องใช้รูปดวงของบุคคลทั้งปี เดือน วัน เวลา มาเป็นเครื่องพิจารณา ในเบื้องต้นก็ใช้เพียงแค่ปีเกิดของบุคคลเข้ามาพิจารณา โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


ไหว้แล้ว..ได้รับผลดีมาก

คือ ท่านที่เกิดในปี พ.ศ. 2467, 2468, 2469, 2474, 2475, 2477, 2478, 2483, 2487, 2490, 2492, 2493, 2495, 2498, 2502, 2504, 2505, 2507, 2508, 2510, 2514, 2516, 2517, 2522, 2523, 2526, 2527, 2528, 2529, 2532, 2534, 2535, 2537, 2538, 2543, 2547, 2550, 2552


ไหว้แล้ว..ได้รับผลปานกลาง

คือ ท่านที่เกิดในปี พ.ศ. 2471, 2479, 2480, 2482, 2484, 2486, 2489, 2491, 2494, 2496, 2501, 2503, 2506, 2511, 2513, 2518, 2520, 2531, 2539, 2540, 2542, 2546, 2549, 2551, 2554


หมายเหตุ: ท่านที่เกิดปี พ.ศ. นอกเหนือจากที่ระบุข้างต้น ไม่แนะนำให้ไหว้ เพราะไหว้แล้ว มีผลน้อย หรือ ไม่มีผลเลย หรือ อาจได้รับผลร้าย ความหมายของ “ปีเกิด” ตามปฎิทินจีนอย่างคร่าวๆ จะเริ่มนับตั้งแต่ 4 กุมภาพันธ์ ของปีนั้น ไปจนถึงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ของปีถัดไป เช่น

  • ปี 2467 คือ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2467 - วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2468
  • ปี 2501 คือ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2501 - วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2502
  • ปี 2535 คือ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2535 - วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2536



องค์ประกอบที่ 3: ทิศทาง

※ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เพื่อไหว้ขอพรเทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี้ย



ให้ตั้งโต๊ะเครื่องมงคล เซ่นสรวง ของมงคลไหว้นั้น ควรหันไปทางทิศตะวันออก ที่องศา 112-114 องศา จะได้รับผลดีมาก (ใช้โปรแกรมเข็มทิศในโทรศัพท์มือถือวัดได้) อันนี้หมายรวมไปถึงผู้ไหว้ด้วย (แต่ทั้งนี้ควรต้องพิจารณารูปดวงชะตาบุคคลให้สอดคล้องด้วยจะได้รับผลเป็นมหามงคลอย่างมาก) การตั้งโต๊ะไหว้ ควรตั้งก่อนเวลาสักเล็กน้อย โดยตั้งโต๊ะหน้าบ้าน แต่ให้หันโต๊ะเครื่องเซ่นไหว้ไปยังที่จะขอพร ก็ให้จุดธูปเพื่อเป็นการอัญเชิญเทพเจ้าดังกล่าวเข้ามาสู่บ้านเรือน ในการไหว้ควรเปิดประตูหน้าบ้าน แล้วปิดประตูหลังบ้านด้วย (ไหว้บนดาดฟ้าก็ได้) ให้นำกระดาษคำอวยพรที่เขียน คำว่า “常滿 (เสี่ยมั่ว)” ติดที่ถังข้าวสาร และ กระดาษคำอวยพรที่เขียน คำว่า “財喜登門 (ไฉ่ฮี่เต็งมึ้ง)” ติดหน้าบ้าน ก่อนไหว้


ขอเชิญดาวน์โหลดคำอวยพร 常滿 สำหรับติดถังข้าวสาร >>> คลิ๊กที่นี่


ขอเชิญดาวน์โหลดคำอวยพร 財喜登門 สำหรับติดหน้าบ้าน >>> คลิ๊กที่นี่



แล้วท่านก็เริ่มจุดธูปไหว้ 3 ดอก อธิษฐานอัญเชิญโดยหันหน้าไหว้ไปทางทิศที่จะขอพรเทพเจ้าแห่งโชคลาภไฉ่ซิ้งเอี้ย แล้วคารวะ 3 ครั้ง (ตามที่ได้ระบุไว้ในบทความนี้) จากนั้นให้หันหน้าไหว้ออกหน้าบ้าน เพื่ออัญเชิญเทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี้ยมาประสาทพร และ อัญเชิญเข้าบ้านเพื่อเป็นศิริมงคล แล้วให้อ่านคำอธิษฐานขอพร จึงกราบ 3 ครั้ง จากนั้นให้นำเครื่องกระดาษไหว้พร้อมใบคำอัญเชิญ และ คำอธิษฐานขอพรไปเผา แล้วนำน้ำมนต์ใส่ยอดทับทิมมาพรมทุกๆ ท่าน และ บ้านเรือน เมื่อเสร็จแล้วให้มายกเครื่องสังเวยลา และ ดับเทียน พร้อมนำดอกไม้กิมฮวย ธูป 3 ดอก ในกระถางที่ไหว้ ไปปักบูชาที่กระถางธูปบูชาพระ หรือ ตี่จู้ (เจ้าที่ในบ้าน) แล้วนำข้าวสารในแก้วไปเทใส่ที่เก็บข้าวสาร ส่วนเงินขวัญถุงในซองให้ไปใส่ในตู้เซฟ หรือ ที่เก็บเงินของท่านตลอดปี ส่วนส้มที่ไหว้ ให้นำไปตั้งบนโต๊ะทำงาน หรือ ตั้งบนตู้เซฟ เก็บส้มไว้ จนถึง วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2559 แล้วค่อยนำส้มมารับประทานในวันนั้น



คำอัญเชิญ คำขอพรต่อเทพเจ้าโดยย่อ


“วาระนี้ ปีดี เดือนดี วันดี เวลาดี ข้าผู้น้อย (ออกชื่อของตน) ขอตั้งจิตอธิษฐานอัญเชิญเทพเจ้าไฉ่ซิ้งเอี้ย ได้เสด็จมารับเครื่องเซ่นไหว้ สักการะบวงสรวง อันได้แก่ ดอกไม้ ธูปเทียน ของหอม ผลไม้มงคลทั้ง 5 อาหารเจ ของหวาน น้ำชา กระดาษเงินทอง เครื่องบรรณาการ และ สิ่งมงคลทั้งหลาย ที่ข้าผู้น้อย (ออกชื่อของตน) ได้จัดไว้พร้อมเสร็จอย่างบรรจง ขอจงได้โปรดกรุณาอยู่ประจำในพิธีการเพื่อรับเครื่องเซ่นไหว้สักการะบวงสรวงอันนี้ด้วยเถิด หากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดขาดตกบกพร่อง ขอได้โปรดกรุณาละเว้นงดโทษแก่ข้าผู้น้อย และ ขอได้โปรดกรุณาอำนวยพรให้ข้าผู้น้อย จงได้มีแต่ความสุข ความเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ พร้อมด้วยลาภหลัก ลาภลอย มีความยินดีปรีดา มีผู้ช่วยเหลือสนับสนุนทั้งหญิงและชาย มีโชคดี ทำมาค้าขึ้น หน้าที่การงานเจริญรุ่งเรือง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ให้เกิดแต่สิ่งมงคลร้อยแปดพันประการ ขอให้สมความปรารถนาด้วยมงคลทั้งปวงเทอญ และ ขอให้ข้าผู้น้อยพ้นจากความทุกข์ยาก แลขจัดสิ้นซึ่งภยันตรายและอุปสรรค สิ่งอัปมงคลทั้งหลายทั้งปวง ศัตรูหมู่มาร ผู้คิดร้าย และ เรื่องร้ายทั้งหลายของข้าผู้น้อย จงพินาศไปตลอดทั้งปีนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”



รายการของไหว้ ตามหลัก 5 ธาตุ

[1] แก้วใส่ข้าวสาร หรือ กระถางธูป มีกิมฮวยปัก 1 คู่ พร้อมติดอั่งติ๋ว หรือ กระดาษแดง

[2] แจกันดอกไม้ 1 คู่

[3] เชิงเทียน พร้อมเทียนแดง 1 คู่ใหญ่

[4] น้ำชา-น้ำเปล่า อย่างละ 5 ถ้วย

[5] ข้าวสุก ใส่ถ้วยชา 5 ถ้วย

[6] ผลไม้ 5 อย่าง 1 ชุด

  • 6.1 ส้ม 1 จาน
  • 6.2 แอปเปิ้ล 1 จาน
  • 6.3 สาลี่ 1 จาน
  • 6.4 องุ่น 1 จาน
  • 6.5 กล้วยหอมสีเขียว 1 จาน

[7] เจฉ่าย 5 อย่าง 1 ชุด

  • 7.1 เห็ดหอม 1 ถ้วย
  • 7.2 เห็ดหูหนู 1 ถ้วย
  • 7.3 ดอกไม้จีน 1 ถ้วย
  • 7.4 วุ้นเส้น 1 ถ้วย
  • 7.5 ฟองเต้าหู้ 1 ถ้วย

[8] สาคูน้ำเชื่อม หรือ อี๊ 5 ถ้วย

[9] น้ำใส่ยอดทับทิม 3 ยอด 1 ขัน หรือ 1 แก้ว

[10] ขนมจันอับ 5 อย่าง 1 จาน (ถั่วตัด งาตัด ข้าวพอง ฟักเชื่อม ลูกกวาด)

[11] ชุดเครื่องกระดาษเงิน-ทอง และ หนังสืออัญเชิญสีเขียว พร้อมคำอธิษฐานขอพรสีแดง

[12] ซองเงินขวัญถุงพิงที่จานส้มไหว้ (ซองเงินขวัญถุงให้ท่านนำเงินใส่ซองเองตามต้องการ แต่ควรเป็นเลขคู่)


***ของไหว้แล้วแต่ศรัทธาก็ได้ *****




 

บทความยอดนิยม Popular Articles

บทความล่าสุด Latest Articles

เรื่องน่าสนใจ Sages Recommend



กรณีที่ท่านมีปัญหาในการเข้าชมเว็บนี้ อันเนื่องมาจากเวอร์ชั่นของ Internet Explorer (IE) ของท่านเป็นเวอร์ชั่น 6 หรือต่ำกว่า ดังนั้นเพื่อให้เข้าชมเว็บให้ได้อย่างมีอรรถรส กรุณาอัพเดทเวอร์ชั่นของ Internet Explorer (IE) เป็นเวอร์ชั่น 7 ก่อน สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่

หรือทำการติดตั้ง Firefox สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่

 

Your are currently browsing this site with Internet Explorer 6 (IE6).

Your current web browser must be updated to version 7 of Internet Explorer (IE7) to take advantage of all of template's capabilities. Download IE7